หากจะพูดถึงแบรนด์รถยนต์หรูสุดคลาสสิกระดับตำนานของโลก เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง “โรลส์-รอยซ์” (Rolls-Royce) แบรนด์ที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานกว่า 120 ปีจากแดนผู้ดีอังกฤษ
สิ่งที่ทำให้โรลส์-รอยซ์เป็นที่จดจำและได้รับการยกย่องขนาดนี้ เป็นเพราะความพิถีพิถันในการผลิต ประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความคงทนชนิดที่ว่า รถของโรลส์-รอยซ์อาจอยู่ได้นานกว่าเจ้าของเสียอีก
และจุดเริ่มต้นของแบรนด์ในตำนานนี้คือ “ชาร์ลส์ โรลส์” และ “เฮนรี รอยซ์” ชายสองคนจากคนละโลก ต่างสถานะทางสังคม แต่โชคชะตานำพามาพบกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
ชนชั้นสูงผู้หลงรักความเร็ว สามัญชนผู้หลงใหลการออกแบบ
ชาร์ลส์ โรลส์ นั้นถือเป็นนักผจญภัยแห่งยุค นักขับรถแข่ง นักบอลลูน และนักบินรุ่นบุกเบิก ผู้มีทั้งความกล้าและบ้าบิ่นสวนทางกับชาติกำเนิดที่เป็นถึงบุตรชายของลอร์ดและเลดี้แห่งแลนกัตต็อก แคว้นเวลส์คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
โรลส์เกิดเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 1877 เติบโตที่กรุงลอนดอน มีความถนัดและความสนใจด้านวิศวกรรมตั้งแต่วัยเด็ก ตอนอายุ 9 ขวบ เขาติดตั้งกระดิ่งไฟฟ้าระหว่างห้องนอนของเขากับคอกม้า จากนั้นยังได้วางแผนและดูแลการติดตั้งไฟฟ้าในบ้านหลังใหญ่ด้วย
เขายังหลงใหลในยานยนต์ตั้งแต่อายุน้อย โดยในปี 1896 เมื่ออายุเพียง 18 ปี โรลส์เดินทางไปปารีสและซื้อรถคันแรกของเขา นั่นคือเปอโยต์เฟตัน (Peugeot Phaeton) ขนาด 3 ¾ แรงม้า
โรลส์ศึกษาต่อสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่วิทยาลัยทรินิตี เมืองเคมบริดจ์ และเริ่มปรับแต่งรถนำเข้าจากยุโรป จนได้รับฉายาจากเพื่อน ๆ ว่า “Dirty Rolls” (เพราะการแต่งหรือซ่อมรถยนต์มักจะทำให้ชุดเปรอะเปื้อนสกปรก)
หลังจากได้รับปริญญาสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องกลและวิทยาศาสตร์ประยุกต์แล้ว โรลส์สร้างชื่อให้ตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะนักขับรถแข่ง ในการแข่งขันครั้งแรกของเขาเมื่อปี 1899 จากปารีสถึงบูโลญจน์ เขาจบที่อันดับ 4
4 ปีต่อมา เขาได้สร้างสถิติความเร็วอย่างไม่เป็นทางการที่เกือบ 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วย Mors เครื่องยนต์ 30 แรงม้า
หลังจากนั้น โรลส์เริ่มต้นทำธุรกิจรถยนต์นำเข้ากับเพื่อน “คล็อด จอห์นสัน” โดยนำเข้าเปอโยต์จากฝรั่งเศสและมิเนอร์วาจากเบลเยียมมาขายในอังกฤษ
ขณะที่ชีวิตของโรลส์ดูจะสวยหรูและโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ทางฝั่งของ เฮนรี รอยซ์ ไม่โชคดีขนาดนั้น เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 1863 ที่เมืองอัลวัลตัน เขาเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวที่มีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
พ่อของรอยซ์ถูกประกาศล้มละลายและถูกจำคุกตามกฎหมายในขณะนั้น ความยากจนและความยากลำบากในช่วงแรกนี้ส่งผลต่ออุปนิสัยและปัญหาสุขภาพของเขาไปตลอดชีวิต
รอยซ์เริ่มทำงานตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ เริ่มจากการขายหนังสือพิมพ์ และต่อมาเป็นเด็กส่งโทรเลข จากนั้นเมื่ออายุ 14 ปีได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากป้าให้ไปฝึกงานที่โรงงาน Great Northern Railway (GNR) ในเมืองปีเตอร์โบโรห์
อัจฉริยภาพในการออกแบบและการทำงานด้วยมือของรอยซ์ปรากฏชัดแทบจะในทันที ชุดรถจิ๋ว 3 คันที่เขาสร้างด้วยทองเหลืองแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันเข้มงวดที่เขาตั้งไว้สำหรับตัวเองและคนอื่น ๆ ตลอดอาชีพการงานของเขา
แต่ 2 ปีต่อมา ป้าของเขามีปัญหาทางการเงิน ทำให้เธอไม่สามารถสนับสนุนให้รอยซ์ฝึกงานต่อไปได้
รอยซ์ไม่ได้หมดหวัง เขาเริ่มทำงานที่บริษัทการไฟฟ้า Electric Lighting & Power Generating Company (EL&PG) ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ พร้อมกับเรียนภาคค่ำวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์หลังเลิกงาน
ต่อมา EL&PG ล้มละลาย เขาจึงตัดสินใจตั้งบริษัทของตัวเองร่วมกับเพื่อนที่ชื่อ “เฮนรี เอ็ดมุนด์ส” ขณะอายุ 21 ปี ผลิตสินค้าชิ้นเล็ก ๆ เช่น กริ่งประตูที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และก้าวไปสู่การผลิตเครน ฝาครอบรางแยกรางรถไฟ และอุปกรณ์อุตสาหกรรมหนักอื่น ๆ
จนเมื่ออายุได้ 28-29 ปี ทำงานหนักตั้งแต่เด็กหลายปีและสถานะการเงินของบริษัทที่เริ่มย่ำแย่จากการเข้ามาของเครื่องจักรไฟฟ้านำเข้าราคาถูก ทำให้เขาถูกความเครียดเล่นงานจนสุขภาพทรุดโทรมลง
แพทย์แนะนำให้เขาลาพักร้อนในต่างประเทศ และนั่นทำให้เขาได้อ่านหนังสือชื่อ “รถยนต์: การสร้างและการจัดการ” ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ไม่ใช่แค่หนึ่งใน แต่เป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก
เมื่อเขาเดินทางกลับประเทศอังกฤษ รอยซ์ได้ซื้อรถยนต์คันแรก เป็น Decauville เครื่องยนต์ 10 แรงม้า แต่รถคันนี้ถูกผลิตไม่ดีเท่าไรนัก ทำให้เขาตัดสินใจว่าตัวเองสามารถทำได้ดีกว่านี้และเริ่มสร้างรถของตัวเอง
เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างเครื่องยนต์สองสูบ 10 แรงม้า จำนวน 3 เครื่อง โดยใช้โครงของ Decauville ออกมาเป็นรถยนต์คันแรกที่เขาผลิต “รอยซ์ 10” เขาได้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการวิเคราะห์ ความใส่ใจในรายละเอียด และการแสวงหาความเป็นเลิศในการออกแบบและการผลิต
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1904 เมื่อเอ็ดมุนด์ส ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของรอยซ์ และยังเป็นเพื่อนกับโรลส์ ได้ยืมรอยซ์ 10 แรงม้าไปลงแข่ง และพบว่านี่คือรถคุณภาพสูงที่หาไม่ได้จากที่ไหนในอังกฤษ
ประกอบกับช่วงนั้น โรลส์กำลังรู้สึกหงุดหงิดที่บริษัทของเขาขายแต่รถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น เมื่อเอ็ดมุนด์สมาโม้ถึงรถคุณภาพเยี่ยมที่ผลิตในอังกฤษโดยคนอังกฤษ เขาจึงสนใจอย่างมาก
4 พ.ค. 1904 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ โรลส์และรอยซ์พบกันครั้งแรก จากนั้นเมื่อได้เห็นรถยนต์รอยซ์ 10 แรงม้า โรลส์ก็รู้ว่าเขาพบสิ่งที่กำลังมองหาแล้ว หลังจากนำรถยนต์ไปทดลองขับ โรลส์ตกลงที่จะขายรถยนต์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่รอยซ์จะสร้างได้ ภายใต้ชื่อ “โรลส์-รอยซ์”
ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์ต้องใช้วิสัยทัศน์ ดังนั้นในขณะที่โรลส์และรอยซ์ยุ่งอยู่กับการสร้างและขายรถยนต์ คล็อด จอห์นสัน หุ้นส่วนของโรลส์ก็เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและขยายชื่อเสียงของบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งใหม่
จอห์นสันเป็นอัจฉริยะด้านการประชาสัมพันธ์ เป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทมากจนถูกเรียกว่าเป็น “ยัติภังค์” (เครื่องหมาย -) ในชื่อโรลส์-รอยซ์เลยทีเดียว
โฆษณาช่วงแรก ๆ ของจอห์นสันเกี่ยวกับรถยนต์โรลส์-รอยซ์ 40/50 แรงม้า ใช้คำโปรโมตสุดปังว่า “โรลส์-รอยซ์ 6 สูบ ไม่ใช่แค่หนึ่งใน แต่เป็นรถที่ดีที่สุดในโลก”
รวมถึงจอห์นสันยังสร้างความน่าเชื่อถือของรถโรลส์-รอยซ์ด้วยการจัดงานทดลองนั่ง โดยนำแก้วน้ำวางไว้ในรถ แล้วขับรถออกไป เพื่อให้คนที่นั่งได้สัมผัสความนิ่งและเงียบของโรชส์-รอยซ์ ชนิดที่น้ำไม่กระฉอกออกมาจากแก้วแม้แต่หยดเดียว
ด้วยศักยภาพของรถยนต์ ประกอบกับเส้นสายที่กว้างขวางของโรลส์ในแวดวงการเมือง สื่อ และแม้กระทั่งราชวงศ์ เขาใช้จุดนี้โปรโมตโรลส์-รอยซ์ นำมาสู่เหตุการณ์ในอนาคตที่รถโรลส์-รอยซ์บางรุ่น มีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะได้ใช้
ก้าวสู่อุตสาหกรรมเครื่องยนต์อากาศยานเพราะสงครามโลก
นอกจากรถยนต์แล้ว โรลส์-รอยซ์ยังมีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานรายใหญ่ของโลก ทั้งเพื่อเชิงพาณิชย์และเชิงการทหาร
จุดเริ่มต้นมาจากการที่โรลส์หลงใหลในการบิน โดยเริ่มแรกเป็นนักบอลลูนก่อน และทำการบินมากกว่า 170 เที่ยว จนเมื่อพี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินและขึ้นบินสำเร็จในปี 1903 เขาจึงตื่นเต้นมาก
กระทั่งปี 1910 โรลส์กลายเป็นบุคคลที่สองในอังกฤษที่ได้รับใบอนุญาตนักบินเครื่องบิน เป็นชาวอังกฤษคนแรกที่บินเครื่องบินข้ามช่องแคบอังกฤษ และเป็นนักบินคนแรกที่บินไม่หยุดจากอังกฤษไปฝรั่งเศสและบินกลับมาอีกครั้ง
ด้วยความคลั่งไคล้ในการบิน ทำโรลส์พยายามโน้มน้าวในรอยซ์ออกแบบและผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน แต่ไม่สำเร็จ
ที่น่าเศร้าคือ โรลส์ไม่ทันได้อยู่เห็นโรลส์-รอยซ์ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน เพราะเพียง 2 เดือนหลังเขาบินไปกลับอังกฤษ-ฝรั่งเศสสำเร็จ โรลส์ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันเครื่องบิน โดยเครื่องบินของเขาตกลงมากระแทกกับพื้นที่ ส่งผลให้เขาเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 32 ปีเท่านั้น
4 ปีต่อมา สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น รัฐบาลอังกฤษได้ร้องขอให้โรลส์-รอยซ์ช่ยออกแบบและผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน จนออกมาเป็น “โรลส์-รอยซ์ อีเกิล” (Rolls-Royce Eagle) ซึ่งถูกนำไปใช้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดวิกเกอร์ส วีมี (Vickers Vimy) อัลค็อก (Alcock) ที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้แบบไม่ต้องพัก
หลังจากนั้นยังได้เข้าสู่ตลาดการบินพลเรือนด้วยการผลิตเครื่องยนต์สำหรับใช้งานกับเครื่องบินบินเชิงพาณิชย์
ปัจจุบันโรลส์-รอยซ์ในพาร์ตของการผลิตเครื่องยนต์อากาศยานแยกออกจากโรลส์-รอยซ์พาร์ตรถยนต์ โดยใช้ชื่อบริษัทว่า โรลส์-รอยซ์ โฮลดิงส์ (Rolls-Royce Holdings)
ณ ปี 2020 โรลส์-รอยซ์เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์เพื่ออากาศยานเชิงพาณิชย์รายใหญ่อันกับ 4 ของโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12% เป็นรอง CFM International (39%), Pratt & Whitney (35%) และ General Electric Aviation (14%) ส่วนการผลิตเพื่อการทหารอยู่ในระดับ Top 20 ของโลก
ใครเป็นเจ้าของโรลส์-รอยซ์?
ภายในปี 1921 ความต้องการรถยนต์โรลส์-รอยซ์ได้เพิ่มขึ้นถึงขนาดที่บริษัทต้องเปิดโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการรถยนต์ที่ออเดอร์ค้างอยู่ 3 ปี
แม้ต่อมาผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่จะทำให้โรงงานต้องปิดตัวลงในอีก 10 ปีต่อมา แต่สามารถผลิตรถยนต์ได้เกือบ 3,000 คันในดินแดนอเมริกา
รอยซ์ที่เหลือตัวคนเดียวโดยไม่มีโรลส์แล้ว แม้จะต้องทำงานบริหารเต็มเวลา แต่เขาไม่ละทิ้งความหลงใหลในการออกแบบและปรับปรุงเครื่องยนต์ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1933 เขาเสียชีวิตด้วยวัย 70 ปี
ถึงโรลส์และรอยซ์จะไม่อยู่แล้ว แต่อาณาจักรโรลส์-รอยซ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นยังคงเติบโตได้ด้วยดี โรลส์รอยซ์ยังเคยซื้อกิจการของคู่แข่งรายสำคัญอย่าง “เบนท์ลีย์” (Bentley) ในปี ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตขนาดเล็กและเป็นคู่แข่งกันในปี 1931
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อุตสาหกรรมรถยนต์หรูตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล แต่โรลส์-รอยซ์ได้พัฒนาตนเองและมีความหลากหลายมากขึ้นด้วยการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับไม่เพียงแต่ในยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้งานทางรถไฟ อุตสาหกรรม และทางทะเลด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปี 1971 บริษัทหมดเงินทุนเนื่องจากปัญหาหลายประการเกี่ยวกับเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนรุ่นล่าสุดที่ผลิตให้กับบริษัท Lockheed Aircraft Corporation
บริษัทใหม่ชื่อ Rolls-Royce (1971) Limited ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล เพื่อจัดการให้ได้มาซึ่งธุรกิจและทรัพย์สินทั้งหมดของแผนกยานยนต์ของบริษัทเดิม รวมถึงการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าของบริษัท แต่ 2 ปีต่อมารัฐบาลตัดสินใจขายธุรกิจรถยนต์และยังคงมุ่งเน้นการผลิตเครื่องยนต์อากาศยานเพียงอย่างเดียว
นี่เองคือจุดที่โรลส์-รอยซ์แผนกรถยนต์และแผนกเครื่องยนต์อากาศยานแยกออกจากกันอย่างเป็นทางการ
โรลส์-รอยซ์ส่วนรถยนต์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Rolls-Royce Realizations Limited ซึ่งต่อมาถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนอีก คือ บริษัทโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ส ของเอกชน และบริษัทโรลส์-รอยซ์ จำกัด ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ
ในปี 1980 กลุ่มบริษัทวิศวกรรม Vickers ได้เข้าซื้อกิจการโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ส จนถึงปี 1998 และขายต่อให้กับ “โฟล์กสวาเกน” (Volkswagen) และยังคงดำเนินงานในฐานะบริษัทในเครือของโฟล์กมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้นเอง บีเอ็มดับบลิว (BMW) ได้รับสิทธิ์ในชื่อแบรนด์และโลโก้ของโรลส์-รอยซ์จากโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ส
ท้ายที่สุดในปี 2003 BMW ได้ก่อตั้งบริษัท Rolls-Royce Motor Cars Limited และเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์โรลส์-รอยซ์แต่เพียงผู้เดียวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเดินหน้าผลักดันให้โรลส์-รอยซ์ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมและความหรูหราที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นที่สุด
รถที่อยู่ได้นานกว่าเจ้าของ
หากถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้โรลส์-รอยซ์ยังคงได้รับการยกย่องและชื่นชมอยู่เสมอ แม้เวลาผ่านมานานกว่า 120 ปี เชื่อว่าแผนพันธุ์แท้รถยนต์หลายคนคงบอกว่าเป็นเรื่องของ “เสน่ห์”คำพูดจาก เว็บพนันออน
เสน่ห์อย่างแรกของโรลส์-รอยซ์คือเรื่องของความคงทน ในปี 1985 โรลส์-รอยซ์จัดทำวิดีโอฉลองยอดขาย 100,000 คัน โดยมีเนื้อหาท่อนหนึ่งที่น่าสนใจว่า 65% ของรถยนต์โรลส์-รอยซ์ที่ผลิตก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะนานกี่สิบปี ยังคงสามารถวิ่งบนท้องถนนได้อยู่ จนเกิดประโยคที่ว่า “โรลส์-รอยซ์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเจ้าของเสียอีก”
เสหน่ห์อีกหนึ่งอย่างคือ รถยนต์โรลส์-รอยซ์แต่ละคันผลิตด้วยมืออย่างแท้จริงที่โรงงานในเมืองกู๊ดวูด ประเทศอังกฤษ โดยทีมงานช่างเทคนิคที่มีทักษะสูงมากกว่า 60 คนต่อการสร้างรถ 1 คัน
โครงรถถูกเชื่อมด้วยมือ เบาะหนังใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการค่อย ๆ ตกแต่งภายในรถ และแผ่นไม้ก็ถูกตัด แปรรูป และขึ้นรูปจากต้นไม้ที่คัดสรรมาอย่างดี นอกจากนี้ โรลส์-รอยซ์ยังมีช่างลงสีเพียงคนเดียวที่วาดลวดลายบนตัวรถ งานเดียวที่ไม่ได้ทำด้วยมือของมนุษย์คือการทาสีตัวรถก่อนการวาดลาย ส่วนที่เหลือนั้นเกิดจากงานแฮนด์เมดทั้งหมด
โรลส์-รอยซ์ยังขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวลและความเงียบมาตั้งแต่ยุคของโรลส์และรอยซ์ ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ รถแบรนด์หรูนี้แต่ละรุ่นมีอัตราเร่ง 0-60 ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที แต่คนขับจะไม่รู้สึกและไม่ได้ยินเสียงของขุมพลังเครื่องยนต์แม้แต่น้อย
ด้วยมนต์เสน่ห์เหล่านี้เอง ที่ทำให้โรลส์-รอยซ์ยังคงเป็นแบรนด์รถหรูเบอร์ต้น ๆ ของโลก และเมื่อปี 2023 เพิ่งทำสถิติส่งมอบรถ 6,032 คันในปีเดียว ซึ่งถือว่ามากที่สุดตั้งแต่โรลส์-รอยซ์กำเนิดขึ้นมา ส่วนปีก่อนหน้าอยู่ที่ 6,021 คัน
โรลส์-รอยซ์ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบ้านเกิดอย่างอังกฤษ โดยตั้งแต่ปี 2003 มีส่วนร่วมโดยรวมต่อเศรษฐกิจของอังกฤษเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านปอนด์ และปัจจุบันอยู่ที่มากกว่า 500 ล้านปอนด์ต่อปี
และนี่คือเรื่องราวการถือกำเนิดของโรลส์-รอยซ์ ที่ต้องเรียกว่า ไม่ต่างอะไรกับชะตาจัดสรร เพราะเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ชนชั้นสูงอย่างโรลส์และสามัญชนอย่างรอยซ์จะได้มาพบและเปิดบริษัทด้วยกัน จนกลายเป็นแบรนด์รถยนต์หรูระดับตำนานอย่างทุกวันนี้
เรียบเรียงจาก (1) (2) (3) (4) (5)
อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านแล้ว! ล้างแค้นถูกโดรน-ขีปนาวุธถล่ม
คุณสมบัติ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ รับ 3,000 บาท
สรุป 4 ทีมสุดท้ายพร้อมโปรแกรมยูโรป้า ลีก รอบรองชนะเลิศ